Search Engine Marketing
SEM ย่อมาจากคำว่า Search Engine Marketing เป็นการผสมคำกันระหว่างคำว่า Search Engine หรือ เครื่องมือค้นหาบนอินเทอร์เน็ต และคำว่า Marketing หรือการตลาด ดังนั้น SEM หรือ Search Engine Marketing จึงหมายถึง “การทำการตลาดผ่านเครื่องมือค้นหาบนอินเทอร์เน็ต”
การทำ SEM เป็นวิธีการโปรโมตเว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพและตรงเป้าหมาย เนื่องจากในการค้นหาข้อมูลในแต่ละครั้งจำเป็นต้องใช้ Keyword (คีย์เวิร์ด) เป็นตัวกำหนดขอบเขต
เมื่อเราป้อน Keyword ลงในช่องค้นหา Search Engine จะประมวลผลและแสดงออกมาเป็นรายการของเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาตรงกับ Keyword นั้นๆ ไว้ในหน้า Search Result Page หรือ หน้าแสดงผลการค้นหา ยิ่งเว็บไซต์อยู่ในอันดับที่ดีมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสให้มีคนเปิดเข้าไปดูมากขึ้นเท่านั้น และนำมาซึ่งยอดผู้ใช้บริการหรือยอดขายที่เพิ่มมากขึ้น Search engine ที่เป็นที่นิยมมากในปัจจุบันคือ Google และ Yahoo! โดย Google เป็นที่นิยมอันดับ 1 ในประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ ออสเตรเลีย รวมทั้งประเทศไทย ส่วนในประเทศญี่ปุ่น ฮ่องกง และใต้หวันนิยมใช้ Yahoo!
การทำ SEM (Search Engine Marketing) สามารถแบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือ
1. SEO (Search Engine Optimization) หรือการโปรโมทเว็ปไซต์ คือ การเพิ่มอันดับของเว็บไซต์ในส่วนของผลการค้นหาทั่วไปในหน้า Search Result Page โดยการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภายในเว็บไซต์ให้เป็นไปตามกฏของ Search Engine นั้นๆ อ่านต่อ
2. PPC (Pay Per Click) คือ ส่วนของพื้นที่โฆษณาซึ่งอยู่ในหน้า Search Result Page เช่นกัน แต่ต้องจ่ายเงินเมื่อมีการคลิ๊กเปิดเข้าไปดูเว็บไซต์ PPC มีข้อแตกต่างกับ SEO ตรงที่สามารถแสดงผลในลำดับต้นๆได้ง่ายและรวดเร็ว โดยที่ไม่ต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างในเว็ปไซด์ เพียงแค่ประมูล Keyword ที่ต้องการมา เว็บไซต์ก็สามารถแสดงอยู่ในอันดับต้นๆได้
– See more at: http://seo-web.aun-thai.co.th/what_is_sem/#sthash.3divhKSx.dpuf
ตัวอย่างหน้าผลการค้นหาของ Google.co.th โดย Keyword คำว่า “ทัวร์ ญี่ปุ่น”
ในส่วนสีน้ำเงินคือส่วนของโฆษณาที่จะต้องเสียเงินเมื่อมีการคลิ๊กเกิดขึ้น ที่ไทยเป็นที่รู้จักกันในชื่อ PPC (Pay Per Click) ส่วนที่ญี่ปุ่นจะเรียกว่า P4P (Pay for Performance หรือ Pay for Placement) หรือ Listing Advertising
PPC เป็นรูปแบบการโฆษณาบน Search Result Page หรือหน้าแสดงผลการค้นหาซึ่งเราต้องประมูล Keyword เพื่อที่จะให้โฆษณาของเราไปปรากฎอยู่เมื่อมีการค้นหาใน Search Engine ตำแหน่งของโฆษณานั้นจะถูกกำหนดโดยค่าประมูลที่เรียกว่าค่า CPC (Cost Per Click) ซึ่งก็คือ ราคาที่เรากำหนดไว้ว่าหากมีคนคลิ๊กเข้าไปดูเว็บไซต์ของเราผ่านทางตัวโฆษณา เราจะต้องจ่ายเงินให้กับ Search Engine ครั้งละเท่าไหร่
ระบบโฆษณาแบบ PPC ที่เป็นที่นิยมทั่วโลก ในปัจจุบันมีผู้ให้บริการสองแบรนด์หลักใหญ่ๆ คือ
1. Google หรือชื่อทางการค้าคือ AdWords
2. Yahoo! หรือชื่อทางการค้าคือ Sponsored Search
การทำการตลาดผ่าน PPC เหมาะสำหรับ?
1. ต้องการทำโปรโมชั่นในระยะสั้น หรือชั่วระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง สามารถเลือกหรือเปลี่ยนแปลง Keyword และข้อความโฆษณาให้เหมาะกับเทรนด์ในช่วงเวลานั้นๆได้ตามต้องการ และยังสามารถเลือกให้แสดงหรือหยุดโฆษณาได้ทุกเมื่อ
2. ต้องการโปรโมทธุรกิจและสามารถเห็นผลได้ภายในระยะเวลาอันสั้น หรือการเปิดตัวสินค้าใหม่สามารถแสดงโฆษณาบน Search Engine ได้ในเวลาไม่กี่นาที ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาปรับปรุงเว็บไซต์และต้องรอเวลาในการไต่อันดับเหมือนกับการทำ SEO
3. ต้องการโปรโมทธุรกิจด้วยวิธีที่มีประสิทธิภาพแต่มีงบประมาณที่จำกัด การทำ PPC ช่วยเพิ่มโอกาสที่จะมีคนเปิดเข้าไปดูเว็บไซต์และช่วยเพิ่มยอดขายได้ นอกจากนั้นยังสามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายได้ทั่วโลก ไม่ว่าจะแบ่งโดยภาษาหรือพื้นที่ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจะมาจากการคลิ๊กในแต่ละครั้งเท่านั้น และเรายังสามารถกำหนดงบประมาณที่จะใช้ในการโฆษณาได้อีกด้วย
4. ต้องการเพิ่มช่องทางในการโปรโมทสินค้า หรือบริการ ตำแหน่งของ PPC เป็นส่วนที่สะดุดตาบน Search Result Page จึงมีโอกาสที่ผู้ใช้จะมองเห็นเว็บไซต์ของเราได้ง่าย นอกจากนั้น แม้ว่าจะไม่มีการคลิ๊กเข้าไปดู แต่ชื่อของเว็บไซต์และเนื้อหาที่ต้องการเน้นก็สามารถปรากฎให้ผู้ใช้เห็นได้ ซึ่งจะไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆเพราะไม่มีการคลิ๊กเกิดขึ้น
5. ต้องการให้เว็บไซต์อยู่ในหน้าแรกหรืออันดับต้นๆบน Search Result Page หากมี Keyword ที่ต้องการให้เสิร์ชหรือให้ค้นหาเจอ หรือเป็น Keyword ที่ได้ทำ SEO แล้ว แต่เว็บไซต์อยู่ในอันดับที่ไม่ดีนัก ก็สามารถลงโฆษณาแบบ PPC เพื่อให้เว็บไซต์ปรากฎอยู่ในหน้าแรกได้เช่นกัน
บริการ PPC ของเรา- See more at: http://seo-web.aun-thai.co.th/what_is_sem/ppc.html#sthash.4HXfaRYn.dpuf
Social Media Marketing (SMM) มีประโยชน์อย่างไร

Social Media คือสื่อในสังคมออนไลน์ที่ในปัจจุบันนิยมใช้งานกันมากและมีการใช้งานในรูปแบบการสื่อสารสองทาง (Interactive) ซึ่งผู้ใช้งานสามารถเข้าถึง Social Media ประเภทต่างๆ ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว โดยผู้ใช้งานสามารถเข้ามาแบ่งปันความรู้ ข้อมูล ข่าวสารต่างๆ ให้แก่กันได้อย่างอิสระและสามารถโต้ตอบแสดงความคิดเห็นกันได้อย่างทันทีทันใด ทำให้คุณไม่พลาดทุกการสื่อสารดังนั้น การทำการตลาดแบบ Social Media Marketing (SMM) หรือ การทำการตลาดบนสังคมออนไลน์ จะเป็นตัวช่วยช่วยในการโปรโมทเว็บไซต์ของคุณ โดย Social Media Marketing จะเป็นตัวช่วยผลักดันให้เว็บไซต์ของคุณขยับขึ้นไปอยู่ในอันดับที่ดีขึ้นในเว็บไซต์ของ Google ซึ่งข้อดีของการทำการตลาดบนสังคมออนไลน์ หรือ Social Media Marketing (SMM) อีกอย่างหนึ่งก็คือ สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ตรงตามกลุ่มเป้าหมาย รวดเร็วทันใจ และช่วยในการประชาสัมพันธ์ เพื่อให้เกิดการบอกต่อในหมู่มาก ได้อย่างง่ายดาย
Social Media Marketing (SMM) มีประโยชน์อย่างไร
- เป็นตัวช่วยผลักดันให้เว็บไซต์ของคุณขยับขึ้นไปอยู่ในอันดับที่ดีขึ้นในเว็บไซต์ของ Google ได้
- ช่วยในการประชาสัมพันธ์บริษัท หรือ เว็บไซต์ของคุณ เพื่อให้เกิดการบอกต่อในคนหมู่มาก ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
- ช่วยเพิ่มช่องทางในการติดต่อสื่อสารระหว่างลูกค้าของคุณและบริษัทของคุณ
- สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ตรงตามกลุ่มเป้าหมาย
- ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการโปรโมทหรือการประชาสัมพันธ์
ทำไมต้องทำ Social Media Marketing (SMM)
- การทำการตลาดแบบ Social Media Marketing ช่วยส่งผลให้การทำ SEO มีประสิทธิสูงขึ้น เนื่อง จากเป็นตัวช่วยในการผลักดันให้เว็บไซต์ติดอันดับได้ง่ายขึ้นและสูงขึ้นอีกด้วย
- การทำการตลาดแบบ Social Media Marketing ไม่ได้ทำได้เฉพาะเว็บไซต์ Facebook และ Twitter เท่านั้น เรายังสามารถโปรโมทเว็บไซต์หรือแบรนสินค้าผ่านทาง Youtube, Flickr และ Blog ต่างๆ ได้อีกด้วย
- การทำการตลาดแบบ Social Media Marketing ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่าการโฆษณาแบบอื่นๆ เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางในการติดต่อสื่อสาร โดยลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลสินค้าหรือบริการได้ ตลอด 24 ชม.
- ช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงลูกค้าหรือผู้บริโภคได้อย่างใกล้ชิด
ค่าใช้บริการทำ Social Media Marketing (SMM) และรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับการทำ Social Media Marketing
- Package/Functions
- Facebook Fanpage
- Twitter Account
- สร้างและปรับแต่งธีมให้เข้ากับ Brand (Twitter)
- Flickr Account
- Youtube Account
- สร้างและปรับแต่งธีมให้เข้ากับ Brand (Youtube)
- Blog Marketing
- เก็บสถิติ
- Social Media Marketing Consultant
- Application on facebook
- Price
Email marketing
|
ประโยชน์ของ Email marketing
•ราคาถูกมากเมื่อเทียบกับสื่อต่างๆ เช่น การโฆษณาในหนังสือพิมพ์ ,วารสาร, หรือตามเวปไซต์ต่างๆ
•กำหนดและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างชัดเจน รวมทั้งสามารถรักษาฐานลูกค้าไว้ได้อย่างมั่นใจ (CRM)
•มีผลตอบสนองค่อนข้างรวดเร็วซึ่งเพิ่มโอกาสในทางธุรกิจของคุณ
•สามารถนำเสนอรายการสินค้า หรือรูปแบบทั้งในรูปแบบ text และ html
•สามารถขยายตลาดของบริษัทหรือธุรกิจให้ครอบคลุม ทั้งในประเทศและทั่วโลก ได้ในเวลาอันรวดเร็ว
ปัจจุบัน Email Marketing เป็นเครื่องมื่อทางการตลาดที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย เพราะนอกจากประสิทธิภาพสูง รวดเร็วและเข้าถึงตัวลูกค้าได้โดยตรงแล้วยังประหยัดกว่าสื่อโฆษณารูปแบบอื่นๆจากการสำรวจของ Shop.org/Bizrate Survey พบว่าผู้ที่ใช้ Email Marketing (ได้ผล 86%) ทำตลาดประสบผลสำเร็จมากกว่า ใช้ Search Engine (ได้ผล 58%)
*********************************************************************************
Spam mail คืออะไร?
*********************************************************************************
Spam เกิดขึ้นได้อย่างไร
ประกาศบทความโดย : www.prosoftemailmarketing.com
– See more at: http://www.prosoftemailmarketing.com/ArticleInfo.aspx?ArticleID=4611#sthash.aFmArjVa.dpuf
Affiliate Marketing คืออะไร
การทำ Affiliate Marketing หมายถึงการที่คุณทำการโปรโมตสินค้า บริการ หรือเว็บไซท์ใดๆก็ได้ที่มีอยู่ในอินเทอร์เน็ต จากนั้นก็สะสมรายได้ เมื่อมีคนเข้ามาทำกิจกรรมผ่าน Links ที่คุณทำการ โปรโมต โดยกิจกรรมที่คนทำนั้น อาจเป็นการ CLICK การ SALE การ SIGN UP อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้ง 3 อย่าง ถ้าสรุปง่ายๆ ก่อนก็คือว่า งาน Affiliate คืองาน Promote Links เท่านั้นเอง โดย Links ที่เรานำมาโปรโมตนั้น จะมีชื่อเรียกเฉพาะว่า Profit Linksความง่ายของงานนี้อยู่ตรงที่ว่า คุณไม่จำเป็นต้องมีสินค้า หรือว่าบริการ หรือว่าเว็บไซซ์เป็นของตนเอง ขอเพียงคุณเรียนรู้วิธีการสร้าง Profit Links และเรียนรู้เทคนิค ในการโปรโมต Links ในแบบต่างๆทั้งในระยะสั้นและในระยะยาวแล้ว มันจะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานของคุณ เป็นอย่างมากทีเดียว
– อะไรคือ Affiliate Marketing
– ระบบนี้มีข้อดีอย่างไร
– ระบบนี้ทำงานอย่างไร
– จะโฆษณา Affiliate Program ของเราได้อย่างไร
Affiliate Marketing หรือ การเป็นนายหน้าขายของผ่านอินเทอร์เน็ต นั้นคือการทำโฆษณาสินค้าผ่านตัวแทนต่าง ๆ นั่นเอง ซึ่งเมื่อก่อนการขายสินค้าและบริการจะจำกัดอยู่ที่ การลงโฆษณาบนหน้าหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ แผ่นพับ หรือ ใบปลิว ต่าง ๆ ซึ่งเมื่อคนต้องการขายของ ก็จะทำการลงโฆษณาในสื่อต่าง ๆ พวกนี้ และในสมัยต่อมา ได้มีสื่ออินเทอร์เน็ตขึ้นมา ทำให้การโฆษณาผ่านสื่ออินเทอร์เน็ตทำได้โดยง่าย ไม่ว่าจะเป็นการนำ Banner ป้ายโฆษณา ต่าง ๆ ไปติดไว้บนเว็บไซต์ที่มีคนเข้าชมเยอะ ๆ หรือ เว็บไซต์ที่ตรงกับกลุ่มลูกค้าของสินค้านั้น ๆ หรือการไปซื้อโฆษณาจากเว็บไซต์ค้นหาต่าง ๆ เช่น Google Search, Yahoo Search Msn Search เป็นต้น
ซึ่งเมื่อคนเห็นโฆษณาแล้ว ก็ทำการคลิกเข้าไปซื้อสินค้า ผู้ลงโฆษณาหรือเจ้าของสินค้าก็ได้รับเงินผลกำไรไป แต่แล้วก็มี กระทาชายนายหนึ่ง หัวใส คิดว่าการที่ตนเองลงโฆษณาคนเดียวนั้น มันไม่ค่อยสะดวก ไหนจะต้องเหนื่อยดูแล และ ไหนจะต้องคอยบริหารสินค้าต่าง ๆ ก็เลยเกิดความคิดที่ว่า ให้ใครก็ได้มาขายของให้ตนเอง และ ถ้าขายได้ ก็จะให้ค่า Commission กลับคืนไป เมื่อมีผู้ผลิตสินค้า ทำรูปแบบนี้เยอะ ๆ เข้า ก็เลยเกิดเว็บไซต์ Affiliate Provider ขึ้นมาทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้ซื้อ และ ผู้ขาย โดย Affiliate Provider นี้จะคอยดูแลร้านค้าต่าง ๆ ไม่ให้โกง คนขาย (Affiliate Marketer) และ คอยดูแล คนขาย ไม่ให้โกง ร้านค้า ด้วย ซึ่งการมี Affiliate Provider นี้ ทำให้การทำธุรกิจเป็นไปด้วยความรวดเร็วและโปร่งใส
ข้อดีของ Affiliate Marketing
– ไม่จำเป็นต้องมีสินค้าของตัวเอง
– ไม่จำเป็นต้องบริการหลังการขาย
– ไม่จำเป็นต้องมีเว็บไซต์ก็ได้ (แต่ถ้ามีจะช่วยเพิ่มมูลค่าขึ้นเยอะ )
– สามารถควบคุมต้นทุนได้
– สามารถหยุดการขายได้ทันทีถ้าไม่มีกำไร เนื่องจากไม่ต้อง Stock สินค้า
– สามารถทำงานที่ไหนก็ได้ ขอเพียงมี Internet
– วันใดไม่ได้ทำงาน แต่ก็ยังมีรายได้เข้ามาเรื่อย ๆ
– ไม่ต้องห่วงเรื่องโดนโกงค่า Commission
การทำงานของระบบ Affiliate Marketing
– เจ้าของสินค้า/บริการ สมัครเป็นสมาชิก Affiliate Provider
– เจ้าของสินค้า/บริการ แสดงสินค้าพร้อมค่าคอมมิสชั่น ที่ Website ของ Affiliate Provider
– ผู้ขาย สมัครเป็นสมาชิกของ Affiliate Provider
– ผู้ขาย สมัครเข้าเป็นตัวแทนขาย กับสินค้านั้น ๆ ที่เลือก
– ผู้ขาย นำ Link หรือ Banner ของสินค้า ไปติดที่เว็บไซต์ตัวเอง หรือ นำไปโปรโมท ตาม Search Engine
– ผู้ซื้อ คลิกผ่าน Link หรือ Banner ที่ผู้ขายนำไปติดไว้ แล้วไปซื้อสินค้า
– ผู้ซื้อ จ่ายเงินให้กับ Affiliate Provider
– Affiliate Provider จ่ายเงินให้กับร้านค้าที่เอาของมาขาย + จ่ายเงินค่าคอมมิสชั่นให้กับ ผู้ขาย
การโฆษณา Affiliate Program ของเราทำอย่างไรได้บ้าง
– โฆษณา ผ่าน Search Engine Optimization (SEO)
– โฆษณา ผ่าน Pay Per Click Program (PPC)
– โฆษณา ผ่าน News Letter
– โฆษณา ผ่าน สื่ออื่น ๆ
สรุป
– การทำ Affiliate Marketing ก็คือการ นำสินค้าหรือบริการของ ผู้ขาย มาขาย และ เมื่อขายได้แล้ว เราก็ได้ค่า คอมมิสชั่น นั่นเอง
– ระบบนี้มีข้อดีคือ สามารถทำได้ทุกที่ ทุกเวลา ที่มี Internet, มีหรือไม่มีเว็บไซต์ของตัวเองก็ได้, ควบคุมต้นทุนได้ง่าย, เรียนรู้และเริ่มต้นได้เร็ว
– การขาย สามารถทำการขายได้หลายรูปแบบ แต่ที่นิยมกันก็คือ การขายผ่าน เว็บไซต์ตัวเอง, การขายผ่าน Search Engine และ News Letter หรือ สื่ออื่น ๆ
Content Marketing คืออะไร ?
คำว่า Content Marketing อาจจะดูไม่ค่อยเกี่ยวกับนักพัฒนาเว็บไซต์เท่าไรนัก แต่สำหรับเพื่อนๆ คนไหน ที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง หรือมีแผนจะทำธุรกิจโดยใช้เว็บเป็นสื่อแล้วล่ะก็ Content Marketing นั้นถือเป็นเรื่องที่เรามองข้ามไม่ได้เลยล่ะครับ
รู้จักกับ Content Marketing
ในชีวิตประจำวันเราคงจะพบเห็นโฆษณามากมายรอบตัวเรา โดยโฆษณาเหล่านี้มักจะเน้นไปที่การขายของหรือบริการต่างๆ ไม่ว่าโฆษณานั้นจะออกมาในรูปแบบใดแต่สุดท้ายก็มักจะลงเอยที่การหว่านล้อมให้เราเลือกซื้อสินค้าหรือบริการจากเค้าอยู่ดี ในทางกลับกัน Content Marketing จะเป็นการนำเสนอ “Content” ซึ่งก็คือ “เนื้อหาที่มีประโยชน์” ให้กับผู้บริโภค โดยมีจุดประสงค์หลักก็คือ เพื่อทำให้ผู้บริโภครู้สึกประทับใจจนสามารถจดจำ Brand สินค้าได้ และเกิดความความจงรักภักดีใน Brand สินค้า(Brand Loyalty) ในที่สุดจริงๆ แล้วเป้าหมายลึกๆ ของ Content Marketing ก็คือการขายอยู่ดี เพียงแต่จะเน้นไปที่การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของผู้บริโภคให้ได้ก่อน แล้วเมื่อนั้นผู้บริโภคก็จะเลือกใช้สินค้าหรือบริการของเราเองโดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปจูงใจอะไรเค้ามากนัก
รูปแบบของ Content Marketing
บทความ
ใครๆ ก็ชอบอ่านเนื้อหาดีๆ มีประโยชน์มากกว่าอ่านเนื้อหาที่มีแต่ข้อความโฆษณาขายของ การจะทำให้ผู้บริโภคประทับใจ เราอาจใช้วิธีเขียนบทความเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้บริโภคกำลังให้ความสนใจอยู่ ให้เราดูว่าเนื้อหาอะไรกำลังเป็นที่นิยมในขณะนั้นและมันยังไม่เคยมีใครเขียนมาก่อนหรืออาจมีคนเขียนแล้วแต่มันยังไม่ดีพอ วิธีนี้ถือเป็นการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ได้ผลดีมาก และถ้าเราสามารถทำได้อย่างสม่ำเสมอ ผู้บริโภคก็จะเกิดความประทับใจในตัวเรา แต่อย่าลืมว่าเนื้อหาที่เราเลือกมานั้นจะต้องสื่อไปถึง Brand ของเราได้ด้วย
รูปภาพ / Infographics
คนเราไม่ชอบอ่านเนื้อหาอะไรยาวๆ บางทีการใช้รูปภาพที่สามารถสื่อความหมายได้ดีอย่าง Infographics กลับสามารถสื่อสารกับผู้บริโภคได้ดีและรวดเร็วกว่า เรามักจะเห็นหลายๆ บทความที่ใช้ Infographics ในการทำให้ผู้บริโภคเข้าใจภาพรวมของเนื้อหาที่เข้าใจยากหรือซับซ้อน โดยเฉพาะพวกเนื้อหาที่เกี่ยวกับแผนภาพหรือการเปรียบเทียบสถิติอะไรบางอย่าง นอกจากนั้น วิธีนี้ยังสามารถใช้สีสันที่สดใสเข้ามาช่วยดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคได้อีกด้วย
วิดีโอ
อีกรูปแบบหนึ่งที่น่าสนใจมากๆ เลยก็คือการใช้วิดีโอ สมมติธุรกิจของเราเป็นการสอนทำเว็บไซต์ออนไลน์ เราก็อาจจะสร้างวิดีโอสอนการทำเว็บไซต์ที่เป็นคอร์สในระดับเริ่มต้นมาให้ผู้บริโภคได้ดูกันฟรีๆ ก่อน เมื่อผู้บริโภคได้ความรู้โดยที่ไม่เสียเงินเลยสักบาท เค้าก็จะรู้สึกประทับใจและบอกต่อๆ กันไปเอง ซึ่งจะช่วยให้เรามีโอกาสที่จะได้ลูกค้าที่ต้องการจะเรียนคอร์สระดับที่สูงขึ้น ถึงแม้ว่าการใช้วิดีโอในการทำ Content Marketing จะมีข้อเสียนิดหน่อยตรงต้นทุนที่ค่อนข้างจะเยอะกว่ารูปแบบอื่นๆ แต่ข้อเสียนี้กลับกลายเป็นข้อดีตรงที่ผู้บริโภคจะเห็นถึงความพยายามที่จะนำเสนอเนื้อหาที่มีประโยชน์ของเรา
Social Media
อีกรูปแบบหนึ่งที่เรามองข้ามไม่ได้เลยก็คือ Social Media เพราะถือเป็นช่องทางที่สามารถสื่อสารกับผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็วมากที่สุดช่องทางหนึ่งเลยทีเดียว ให้เราสร้างแฟนเพจของ Brand ขึ้นมา แล้วคอยอัพเดทข่าวสาร คอยตอบคำถามให้ความช่วยเหลือเวลามีผู้บริโภคสงสัยอะไรด้วยถ้อยคำที่แสดงถึงความยินดีและจริงใจ เพียงเท่านี้ เราก็จะสามารถสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับ Brand ของเราได้แล้วล่ะครับ
ทำ Content Marketing แล้วได้อะไร ?
ผู้คนจดจำเราได้
ประโยชน์ที่เห็นชัดๆ ที่สุดของการทำ Content Marketing เลยก็คือ ทำให้ผู้บริโภครู้ว่ามี Brand ของเราอยู่บนโลกใบนี้ หลายๆ คนอาจไม่เคยได้ยินชื่อ Brand ของเรามาก่อน แต่เค้าก็มารู้จักเราจากการบอกต่อๆ กัน หรือจากการแชร์เนื้อหาของเราผ่านทาง Social Media
ลูกค้ารักเรา
เมื่อสร้าง Brand Awareness ได้แล้ว สิ่งที่ควรสร้างต่อมาก็คือ Loyalty หรือความจงรักภักดีที่ผู้บริโภคมีให้กับเรา ดังนั้นเราควรแน่ใจว่าเนื้อหาที่เราสร้างขึ้นมานั้นมีประโยชน์กับผู้บริโภคจริงๆ ไม่ใช่เน้นแต่จะขายของท่าเดียว
ได้ลูกค้าเพิ่ม / คนเข้าเว็บมากขึ้น
เพราะผู้บริโภคสามารถจดจำ Brand ของเราได้แล้ว และเค้าก็ยังรักเราอีกด้วย จึงมีแนวโน้มว่าเราจะได้ลูกค้าเพิ่มมากขึ้น และหากเรามีเว็บไซต์ หรือแฟนเพจ การที่มีลูกค้าเพิ่มขึ้นย่อมจะทำให้ traffic ของเว็บไซต์เราเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย การประชาสัมพันธ์ข่าวสารอะไรก็จะสามารถทำได้สะดวก
ยอดขายเพิ่มขึ้น
สุดท้ายแล้วเงินก็ไม่หนีไปไหน เมื่อเราสามารถทำให้ผู้บริโภคยินยอมจ่ายเงินให้เราได้อย่างเต็มใจที่สุด โดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปโฆษณาอะไรมากมายเลย
Content Marketing vs Advertising
การโฆษณาในรูปแบบเดิมๆ นั้นจะเน้นไปที่การขายเสียส่วนใหญ่จนอาจไปทำให้ผู้บริโภคบางคนไม่ชอบเพราะรู้สึกว่ากำลังถูกหว่านล้อมอยู่ แต่มันก็มีข้อดีอยู่เหมือนกันตรงที่จะเห็นผลค่อนข้างเร็วหากคอยทำอยู่เรื่อยๆ ส่วนการทำ Content Marketing นั้นจะไม่ได้เน้นที่การขายเป็นหลัก แต่จะให้ความสำคัญกับการสร้างความเชื่อมั่นใน Brand สินค้าให้กับผู้บริโภคโดยการให้ความรู้จากเนื้อหาที่มีประโยชน์ ถึงแม้ว่าการทำ Content Marketing อาจจะเห็นผลได้ช้ากว่าการโฆษณาแบบตรงๆ แต่ผลที่ได้กลับมานั้นคุ้มค่าและยั่งยืนกว่า
The Word of Mouth การตลาดแบบปากต่อปาก
ในอดีตจะเห็นได้ว่าเวลาต้องการจะโปรโมทอะไร ก็ต้องมาโฆษณาผ่านช่องทางทีวี ซึ่งค่าใช้จ่ายก็แสนจะแพง หลายคนคงจะจำได้ว่า โฆษณาสมัยก่อนจะเป็นอะไรที่บอกกับลูกค้าตรงๆว่าขายอะไร เช่น โฆษณา แผลเปื่อย แผลไฟไหม้ แผลพุพอง เป็นหนอง ใช้เย็นเตร็ด หลายคนที่เกิดรุ่นผม คงจะเคยดูโฆษณานี้ แต่เด็กยุคใหม่คงบอกว่า โฆษณาอะไรเนี่ยเกิดไม่ทัน แต่โฆษณาที่ดังติดหูสมัยก่อน ก็คือโฆษณาสาวยาคูวร์ ที่ไม่ได้ดังที่ตัวโฆษณาอย่างเดียว แต่กลับเป็นคำที่ว่าถามสาวยาคูว์ดูสิ ก็ทำให้เกิดเป็นการตลาดแบบปากต่อปาก ต่อมาโฆษณาก็เน้นจุดนี้มากขึ้น ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงวิธีการโฆษณา ตั้งแต่ตัวแรกๆ เช่น โฆษณา คุณแม่ขา… ปูน้อยหนีบมือ… และก็ต้องบอกว่า เด็กยุคใหม่คงบอกอีกว่า อะไรอีกเนี่ยเกิดไม่ทันอีกแล้ว ไม่เคยได้ยินเลยงั้นเอาให้ทันสมัยหน่อย ต่อมาก็จะมีโฆษณาของสมูธอี ที่ว่ากันเรื่องโฟมล้างหน้าที่กวาดรางวัลมามากมาย โดยเฉพาะรางวัลเมือง Cannes ที่ฝรั่งเศส ก็ถือว่าเป็นอันที่คลาสสิค จะเห็นได้ว่าวิธีการโฆษณาล้วนหวังผลให้เกิดเป็นปากต่อปาก จนกระทั่งถึงในยุคของ Social Network ที่การตลาดดูเหมือนว่าไม่ต้องไปที่ทีวีแล้ว แต่ทำอย่างไร ถึงจะสร้างกระแสปากต่อปาก ใน Social network ให้ได้ไอเดียดีๆ หลายๆอัน ได้ถูกทำไปไว้ใน Youtube และ ด้วยการที่มีการควบคุมน้อย ก็มักจะมีโฆษณาที่ฉิวเฉียด ออกมาให้เห็นกันบ่อยๆ แต่ทำอย่างไรหละ ให้เกิดเป็นปากต่อปาก บางครั้งที่เราตั้งใจเกินไปก็ไม่เกิด แต่บางครั้งไม่ได้ตั้งใจ กลับเกิดกระแสดังซะไม่มี เช่น โฆษณาอาหมวยที่เอาก๋วยเตี๋ยวให้เด็ก แล้วอาแปะ เส้นเลือดสมองแตก และแล้วหมอคือเด็กคนนั้นในอดีต ซึ่งก็เกิดเป็นกระแสดังไปทั่วโลก คำถามคือ ทำอย่างไรภาวะปากต่อปากถึงได้เกิดขึ้นจริงๆ แล้วคือต้อง อ่านใจผู้บริโภค ตีโจทย์แตกกระจุย
(ตัวอย่างโฆษณา ที่กลายเป็น Word of Mouth ภายในคำคืนเดียว)
จริงๆ แล้วลูกค้า ไม่ซับซ้อน หากเราสื่อสารอะไรที่ซับซ้อนมาก มันจะสื่อสารต่อยาก คนไทยชอบอะไรที่ง่ายๆ ตรงไปตรงมา และจริงใจต่อกัน โดยเฉพาะคนไทย ที่เครียดอยู่แล้ว จึงชอบอะไรที่ขำๆ ก็จะทำให้ส่งต่อได้ง่าย ดังนั้น หากทำอะไรให้ลูกค้าอมยิ้มได้ นั่นหมายถึง โอกาสมาถึงแล้ว การทำตลาดแบบปากต่อปาก (Word-of-Mouth Marketing) บางคนก็เรียกว่า Viral Marketing ถือว่าเป็นการทำตลาดที่เจ๋งสุดๆ ในยุคนี้ ลองคิดดู…แทนที่คุณจะต้องจ่ายเงินมหาศาลไปกับการซื้อโฆษณาบนหน้าหนังสือพิมพ์ โฆษณาทางทีวี หรือแม้แต่การทำโฆษณาแบนเนอร์ (Banner Ads) บนเว็บไซต์ แต่ด้วยศักยภาพของ Viral Marketing คุณไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินสักแดงเดียวเพื่อลงโฆษณาบนสื่อเหล่านั้น แต่แค่ปล่อยให้บรรดาแฟนคลับที่ชื่นชมสินค้า หรือติดตามความเคลื่อนไหวของคุณอยู่แล้วทำงานให้กับคุณแทน สำหรับเทคนิคนั้นไม่ง่าย
ขั้นแรกต้องวางแผนเนื้อหาให้ดี ไม่ใช่ขายตรง แต่ต้องทำให้เกิดอารมณ์ แบบสุดขั้ว ไม่รัก ก็ตลก หรือ อะไรที่สังคมต้องพูดต่อ อะไรที่เกิดข้อสงสัย จากนั้นเลือกช่องทางให้เหมาะสม Viral Marketing จะไม่มีทางประสบความสำเร็จได้เลยหากผู้ประกอบการไม่สามารถจับประเด็นธุรกิจที่ต้องการสื่อสารไปยังผู้บริโภคได้อย่างถูกจุด ดังนั้นผู้ประกอบการต้องวิเคราะห์และตีโจทย์ให้แตกเสียก่อนว่าเรื่องที่ต้องการสื่อสารออกไปนั้นทำไปเพื่ออะไร อย่างไร ช่องทางไหน ใครเป็นผู้รับ จุดประสงค์ที่ต้องการคืออะไร สิ่งที่ต้องระวังคือ บางครั้งคนจำโฆษณาได้ แต่กลับจำสินค้าไม่ได้ ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้ง จึงต้องพิจารณาที่ตัวเนื้องานว่ามีความแปลกชนิดที่ว่าเห็นเพียงครั้งเดียวแต่เล่นเอาจำไปอีกนานแสนนานจะเป็นการดีที่สุด ดังนั้น หากร้อยเรียงได้เกี่ยวข้อง ก็จะจำสินค้าได้ด้วย นอกจากนั้น ยังอาจต้องมีกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง มาช่วยเสริม เช่นกระแสข่าวดาราในโฆษณา ซึ่งจะเกิดเป็น Viral ได้นั้น ต้องเกิดการกระจายถึงระดับหนึ่ง ซึ่งบางครั้ง Social Network ก็ช่วยได้เป็นอย่างดี
mobile Internet marketin
ธุรกิจบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ เป็นธุรกิจหนึ่งที่จะมองข้ามไม่ได้ เมื่อเทียบกับหลาย ๆ ธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากจำนวนผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ในปัจจุบันนี้มีเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว และนี่คงเป็นอีกหนึ่งคำตอบสำหรับนักธุรกิจ หรือนักการตลาด ที่จะมองข้ามไม่ได้ ในการที่จะนำเอาระบบเทคโนโลยีเคลื่อนที่เข้ามาช่วยในด้านการตลาด เพราะระบบเคลื่อนที่จะกลายเป็นอีกหนึ่งช่องทางการตลาดที่มีมูลค่ามหาศาล
การแสวงหามูลค่าใหม่ในการทำธุรกิจผ่านเครือข่ายไร้สาย เครือข่ายแบบไร้สายทำให้เกิดทั้งโอกาสและความซับซ้อนในการทำธุรกิจอย่างมโหฬาร เพราะทำให้ความคาดหวังของผู้บริโภคสูงขึ้น ขณะเดียวกันก็ผลักดันให้การแข่งขันสูงขึ้นด้วย ความรวดเร็วในการทำธุรกิจที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยีใหม่นี้เร็วไม่พอ เมื่อเทียบกับความต้องการของผู้บริโภค ธุรกิจที่จะประสบความสำเร็จได้ต้องมีการทำงานแบบ Real-time ต้องเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและล้ำหน้าในการออกแบบกลยุทธ์เพื่อรับมือกับความซับซ้อนในธุรกิจแบบนี้ Mobile Marketing สื่อรูปแบบใหม่ที่ช่วยให้สื่อสารโดยตรงไปยังลูกค้าเพื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรมการตลาด รายการส่งเสริมการขาย สร้างภาพลักษณ์ให้กับตราสินค้า ตลอดจนการได้มาของฐานข้อมูลอันทันสมัยของลูกค้าซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธวิธีการตลาดเชิงสัมพันธ์ (Customer Relationship Management – CRM) ที่สำคัญของการตลาดในสหัสวรรษใหม่นี้
การตลาดในยุคแห่งการช่วงชิงฐานส่วนแบ่งตลาด และรักษาฐานลูกค้าให้จงรักภักดีต่อ Brand รวมทั้งตัดสินใจใช้สินค้าและบริการได้ง่ายขึ้นนั้น Mobile Marketing ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการใช้เป็นเครื่องมือทางตลาดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตามจำนวนผู้ใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่มากกว่า 25 ล้านรายในปัจจุบัน นั่นเพราะ Mobile Marketing เป็นการตลาดที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรง และสามารถวัดผลได้รวดเร็ว รวมทั้งเป็นรูปแบบที่ใช้ต้นทุนทางการตลาดต่ำ และได้รับความสนใจจากกลุ่มเป้าหมายสูง
Characteristics of Mobile Marketing
Mobile + Marketing คือการทำกิจกรรมทางการตลาดผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่ซึ่งสามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายได้ตรงตามที่ต้องการ และสามารถรายงานผลการตอบรับได้ เป็นลักษณะของการ Multi-casting โดยจะเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายหลัก เป็นการรุกและสร้างกิจกรรมส่งเสริมการตลาดควบคู่ไปด้วย เพราะกิจกรรมถือเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการทำโฆษณา ประชาสัมพันธ์ ได้เป็นอย่างดี
กลุ่มผู้ที่เกี่ยงข้องใน Mobile marketing
1. Mobile Developer – Nokia, Motorola, Samsung ผู้พัฒนาโทรศัพท์เคลื่อนที่
2. Mobile Network Operator – AIS, DTAC, True Move, Hutch ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่
3. Content provider – ผู้ผลิตสื่อเพื่อให้บริการบนโทรศัพท์เคลื่อนที่
4. Business – ธุรกิจที่ใช้บริการสื่อเพื่อทำกิจกรรมทางการตลาด
5. Subscriber – ผู้รับบริโภคข้อความทางการตลาด
รูปแบบของสื่อการตลาดผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile Marketing) ที่มีให้บริการในปัจจุบัน
1. SMS Marketing
2. MMS Marketing
3. Video Clip
SMS Marketing
เทคโนโลยี SMS (Short Message Service) เป็นบริการพื้นฐานประเภทหนึ่งที่ถือขึ้นกำเนิดมาพร้อมกับระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุค 2G โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นการรับส่งข้อความสั้นๆ ระหว่างผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ด้วยกัน การรับส่งข้อความแบบ SMS สามารถทำได้ทุกที่ตราบเมื่อที่เครื่องลูกข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ยังเปิดเครื่องทำงานอยู่ โดยไม่จำเป็นว่าเครื่องลูกข่ายกำลังถูกใช้งานโทรศัพท์อยู่หรือไม่ ทั้งนี้เพราะการรับส่งข้อความ SMS จะกระทำผ่านช่องสื่อสารควบคุม (Control Channel) ระหว่างเครื่องลูกข่ายกับสถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งเป็นช่องสื่อสารขนาด Bandwidth เล็กๆ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นข้อจำกัดขนาดของข้อความ SMS แต่ละชุดไว้ไม่ให้ใหญ่เกินกว่า 160 ตัวอักษร เนื่องจากหากข้อความ SMS มีขนาดใหญ่มากเกินไปจะทำให้เกิดผลกระทบต่อความหนาแน่นของข้อมูลที่มีการรับส่งผ่านช่องสื่อสารควบคุม ซึ่งอาจมีผลต่อการให้บริการเชื่อมต่อวงจร ยกเลิกการเชื่อมต่อ หรือการย้ายเซลล์ได้ ทำให้คุณภาพในการให้บริการของเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่นั้นๆด้วยประสิทธิภาพลง
SMS นั้นเป็นความสามารถในการส่ง และรับข้อความที่เป็นตัวอักษรที่ส่งไปหรือรับจากเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ ข้อความจะประกอบด้วยคำ หรือ จำนวน หรือ ตัวอักษร ผสมตัวเลข บริการ SMS ได้ถูกสร้างขึ้นมาให้ทำงานร่วมกันไปสู่มาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบดิจิตอลระบบ GSM บริการฝากข้อความแรก ได้ถูกส่งในเดือน ธันวาคม 1992 จากเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลไปยังเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่บนโครงข่ายระบบ GSM ของ Vodafone ในประเทศอังกฤษ บริการ SMS นั้นเป็นแบบสองทิศทางได้ถูกให้สนับสนุนโครงข่าย GSM, CDMA, และ TDMA
รูปแบบของบริการ Content บนโทรศัพท์เคลื่อนที่คงเปลี่ยนไป ในลักษณะของ Mobile Marketing แทนที่ผู้ใช้บริการจะดาว์นโหลดข้อมูลเองกลับเป็นผู้ให้บริการส่งข้อมูลสินค้าและโฆษณาเข้าไปยังโทรศัพท์เคลื่อนที่ SMS กลายเป็นฟังก์ชันพื้นฐานบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ และนำมาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโฆษณารูปแบบเดิม
รูปแบบของการโฆษณา จะผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่มากขึ้น ซึ่งเป็นการพัฒนาเนื้อหา (Content) ของระบบ SMS Interactive ที่มีการส่งโฆษณา ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย เนื่องจากโทรศัพท์เคลื่อนที่เริ่มมีบทบาท ต่อชีวิตประจำวันมากขึ้น ประกอบกับเทคโนโลยีของโทรศัพท์ ก็มีขีดความสามารถและโปรแกรมการใช้งานได้หลากหลาย ทำให้เชื่อว่าปัจจัยเหล่านี้จะผลักดันให้บริการ Mobile marketing ขยายตัวตามไปด้วย
การใช้ SMS ช่วยในการทำ Mobile Marketing เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโฆษณา เพิ่มโอกาสการสร้างชื่อสินค้าให้ประชาชนทั่วไปได้รู้จักอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการเพิ่มคำถามในโฆษณาแล้วให้ส่ง SMS กลับมานั้น จะทำให้เจ้าของผลิตภัณฑ์ทราบถึงกระแสความนิยมที่มีต่อสินค้าได้อย่างทันท่วงที ผลพลอยได้อีกอย่างหนึ่งของการทำ Mobile Marketing ด้วยการส่ง SMS คือ ฐานลูกค้าขนาดใหญ่ที่สามารถนำมาวิเคราะห์สิ่งที่ลูกค้ากลุ่มต่าง ๆ สนใจ หรือไม่สนใจ เพื่อนำเสนอโปรโมชั่น และสินค้าประเภทอื่น ได้ตรงตามที่กลุ่มลูกค้านั้นต้องการในครั้งต่อไป เพิ่มความถี่ของโอกาสการขายสินค้าให้มากขึ้น
ผลกระทบจากการเข้ามาของบริการ SMS นั้น ไม่ได้อยู่ในรูปแบบการร่วมสนุกหรือโหวตเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ตัวเลขต่างๆจากผลการโหวตยังส่งผลไปในการวงการเอเจนซี่โฆษณา ในด้านของผู้ผลิตรายการทีวียังนำบริการเล่น Game ทายผลหรือร่วมโหวตมาเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มในการหาสปอนเซอร์ในรายการต่างๆ การใช้ความสามารถของ SMS มารวมกับสื่ออื่นๆ ที่มีศักยภาพนั้นถือว่าเป็นการเสริมจุดอ่อนของกันและกันได้อย่างดี สำหรับจุดเด่นของ SMS หากมองในมุมของการสื่อสารก็คือความสามารถในการเป็นผู้ส่งสารในลักษณะการกระจายสารได้ในเวลาอันรวดเร็ว มีความเด่นอย่างต่อเนื่องและตอบสนองได้แบบที่เรียกว่า Interactive และเป็นสื่อเฉพาะบุคคลอย่างแท้จริง ส่วนสื่อทีวีนั้นมีความเป็นมวลชนในตัวมันเองที่สามารถเข้าถึงในทุกๆแห่ง แต่ขาดการปฏิสัมพันธ์ตอบโต้ การรวมกันของรูปแบบการใช้ SMS เข้ากับทีวีนั้นถือว่าสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ชมที่ต้องการสื่อสารกับคนในสังคมทีวี ผู้ให้บริการระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ค่าบริการเครือข่ายจากการใช้ SMS ผู้ให้บริการ SMS หรือ Content Provider สามารถสร้างรายได้จาก SMS สุดท้ายผู้ผลิตรายการทีวีสามารถดึงประโยชน์จาก SMS มาเป็นกิจกรรม และสร้างมูลค่าเพิ่มแบบ Rail time ถ้ามีโอกาสได้ใช้เทคโนโลยี Bluetooth ร่วมด้วยก็จะทำให้มีบริการที่อุปกรณ์เคลื่อนที่สามารถสื่อสารกับอุปกรณ์ชนิดอื่นๆ แบบไร้สายได้ด้วย สิ่งสำคัญที่จะทำให้บริการต่างๆ ประสบความสำเร็จ ขึ้นอยู่กับการบริการนั้นตรงกับความต้องการของผู้ใช้มากน้อยแค่ไหน ค่าบริการเหมาะสมและคุ้มค่าหรือไม่ อย่างไรก็ตามธุรกิจบนเคลื่อนที่น่าจะมีแนวโน้มเติบโตได้อีกมาก และจำนวนผู้ใช้เคลื่อนที่ก็น่าจะเพิ่มขึ้นมากกว่าจำนวนผู้ใช้เครื่อง PC หลายเท่า ตามที่ได้คาดการณ์ไว้และในอนาคตอันใกล้นี้เราอาจจะได้เห็นยุคที่ 4 ของเคลื่อนที่
ประโยชน์ของ SMS
1. เป็นเครื่องมือในการสื่อสารแบบสองทาง (Two way communication) เป็นการทำการตลาดแบบสื่อสาร 2 ทางระหว่างผู้ส่งสาร/เจ้าของสินค้าหรือบริการ/นักการตลาดกับผู้รับสารหรือลูกค้า/กลุ่มเป้าหมาย
2. เป็นเครื่องมือ ในการทำการโฆษณาและส่งเสริมการขาย
3. สามารถใช้เป็นฐานข้อมูลเพื่อใช้ในการทำการตลาดในรูปแบบของ Database Marketing เป็น การสร้าง(build) รักษา(Maintain) และ นำฐานข้อมูลของลูกค้า(Utilize) หรือ Customer Database นำมาใช้เพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางการตลาด และ Database นี้เองก็เป็นหัวใจสำคัญของการทำ Direct Marketing หรือ การตลาดตรง และ CRM
4. สะดวก รวดเร็ว ประหยัด สามารถใช้ได้ทุกที่และทุกเวลา เช่น ในการบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัย สามารถส่ง SMS บริจาคโดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไป โอนเงินให้ยุ่งยาก เป็นต้น
MMS (Multimedia Messaging Service)
MMS เป็นการให้บริการรับส่งข้อมูลในลักษณะของ Messaging ทุกรูปแบบด้วยการส่งข้อมูลผ่านเครือข่าย GPRS แทนที่จะเป็นการใช้ประโยชน์ของช่องสื่อสารแบบ SMS ทำให้สามารถทำลายกำแพงที่เป็นข้อจำกัดในเรื่องของขนาดข้อมูล เทคโนโลยี MMS เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้โทรศัพท์เคลื่อนที่สามารถรับส่งข้อมูลได้หลากหลายรูปแบบมากที่สุด MMS เป็นเทคโนโลยีที่เปิดกว้างให้ผู้ใช้สามารถสร้างข้อความที่ประกอบด้วยภาพ เสียง รวมทั้งข้อความที่ต้องการส่งออกไปพร้อมๆ กันผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่รองรับการใช้งาน สำหรับเทคโนโลยี MMS นั้นได้ผ่านช่องทาง WAP หรือ GPRS ซึ่งเป็นเครือข่ายความเร็วสูงทำให้ได้รับข้อความประเภท มัลติมีเดีย ถึงกันได้เร็วมากขึ้นMMS เป็นเพียงแต่ชื่อที่แนะนำความสามารถในการรับและส่งข้อความ ผ่านสื่อจำนวนมาก ประกอบด้วย ข้อความ (Text), ภาพ (Image), และวีดีโอ(Video) ที่ส่งไปยังหรือรับมาจากเครื่องโทรศัพท์ที่มีความสามารถด้านมัลติมีเดีย บริการ MMS ให้ความสามารถในการส่งภาพนิ่ง (Still Image) เช่น Mobile Postcards, Mobile Pictures, Mobile Greeting Card, Mobile Maps และ นามบัตร (Business Card) นอกเหนือไปจากภาพเคลื่อนไหว (Moving Images), การ์ตูน (Cartoons) และวีดีโอแบบโต้ตอบ (Interactive Video) จะถูกสนับสนุนโดยบริการ MMS
Video Clip
Video Clip ต้องใช้กับเครื่องที่รองรับเทคโนโลยี 3G เหมาะสำหรับธุรกิจบันเทิง และบริการ Content เพื่อเป็นช่องทางการจำหน่ายบนมือมือ อาทิ หนังสั้น เพลง รวมทั้งคอนเสิร์ต เป็นต้น
กลยุทธ์ในการทำ Mobile marketing
การตลาดฐานข้อมูล Database + Marketing
1. การสร้างฐานข้อมูลของลูกค้า (Build)โดยการสร้างบริการที่ลูกค้าสนใจ เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าทำการกรอกประวัติส่วนตัวของลูกค้าลงบนฐานข้อมูล ตัวอย่างเช่น การลงทะเบียนเพื่อได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น Free Ring tones, Games, Wallpapers
2. การรักษาฐานข้อมูลของลูกค้า (Maintain)
3. การนำฐานข้อมูลของลูกค้าไปใช้ (Utilize) โดยการนำ Customer Database ที่ได้รับอนุญาตแล้ว ไปใช้เป็นสื่อรูปแบบใหม่ที่ช่วยให้สื่อสารโดยตรงไปยังลูกค้าเพื่อประชาสัมพันธ์และส่งเสริมกิจกรรมทางการตลาด เช่น
· CRM (Customer Relationship Management)
· การทำ Direct Marketing
· รายการโฆษณาส่งเสริมการขาย
· สร้างภาพลักษณ์ให้กับตราสินค้า
Mobile Advertising เริ่มจากผู้ใช้บริการสามารถเลือกรับโฆษณาสินค้า/บริการ สิทธิพิเศษและส่วนลดต่างๆ พร้อมกำหนดรายละเอียดของการรับข้อความได้เอง ทั้งประเภทของสินค้าและบริการ ช่วงเวลาที่ต้องการรับต่อวัน สามารถส่งคำสั่งเปิดหรือระงับการใช้บริการด้วยตนเอง (Right time, Right profile, Right position)
ตัวอย่างผู้ให้บริการ Mobile Marketing
· http://www.shinee.com
· http://www.smileinteractive.co.th
· http://www.jigsawsms.com
· http://www.sms.in.th
Mobile Marketing Implementations
ตัวอย่างการประยุกต์นำ Digital Messenger ไปใช้งาน Mobile Marketing
* อ้างอิงจากบริการของ http://www.jigsawsms.com/2005/th/solutions/index.php
1. สำหรับใช้ส่วนตัว ส่งข้อความหาเพื่อน กลุ่มเพื่อน ตั้งเวลา Birthday Reminder ให้เพื่อนหรือคนสำคัญ ตั้งเวลาเตือนนัดหมายสำคัญต่าง ๆ ล่วงหน้า
2. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ระบบการแจ้งข้อมูลข่าวสารโครงการ รายการ promotion เตือนการชำระค่างวด
3. Financial/Leasing ระบบตั้งเวลาแจ้งเตือนให้ลูกค้าทราบถึงวันเวลาถึงกำหนดชำระค่างวดต่าง ๆ หรือรายการ promotion
4.กีฬา ระบบโปรแกรมตั้งเวลาส่งข้อมูลการแข่งขันกีฬาต่าง ๆ ไปยังเคลื่อนที่
5.ทัวร์ ท่องเที่ยว โรงแรม Resort ส่งข้อมูล promotion campaign ให้กับสมาชิกหรือลูกค้า แนะนำถิ่นกินเที่ยวต่าง ๆ
6.หนังสือพิมพ์ ข่าวสาร นิตยาสารและบันเทิง แจ้งข้อมูลข่าวสาร ข่าวด่วนให้สมาชิกทราบทางเคลื่อนที่
7.ธุรกิจประกันภัย/ประกันชีวิต แจ้งข้อมูลข่าวสาร ข่าวด่วน โปรโมชั่น แจ้งเตือนชำระเบี้ยประกัน
8.ธุรกิจขายตรง แจ้งโปรโมชั่น ยอดคอมมิชชั่น และข่าวสาร
9.สนามกอล์ฟ แจ้งข้อมูลข่าวสาร เทคนิคใหม่ ๆ หรือกิจกรรม ต่าง ๆ ที่จัดขึ้น
10.ธุรกิจเงินทุนหลักทรัพย์ ระบบแจ้งข่าวสารหุ้นเด่น และรายงานผลการซื้อขาย และ Stock Alert ที่จะรองรับการบริหารการส่งข้อมูลหุ้นไปยังเคลื่อนที่ของลูกค้าเอง (Stock alert)
11.ธุรกิจจัดหางาน แจ้งเตือนให้ผู้สมัครทราบเมื่อมีบริษัทต้องการตำแหน่งที่ตรงกับผู้สมัคร(Job alert)
12.หน่วยงานราชการ แจ้งประกาศข้อมูลข่าวสาร เกี่ยวกับหน่วยงาน แจ้งประชุมเตือนผู้บริหาร หัวหน้างาน
13.Sport Clubs แจ้งข้อมูลข่าวสาร แนะนำเทคนิค กิจกรรม รายการสนับสนุนการขาย
14.บริษัทผลิตรถยนต์ / จำหน่ายรถยนต์ แจ้งข้อมูลการนำรถเข้าซ่อม การนำรถเข้าตรวจเช็คศูนย์ การส่งรถ รับรถ ชำระค่างวด
15.โรงพยาบาล ส่งข้อความติดตามแพทย์ พยาบาล แจ้งข้อมูลข่าวสาร ข้อมูลสุขภาพ ให้กับผู้ป่วย หรือรายการ promotion ต่างๆ
16.ห้างสรรพสินค้า/ร้านค้า แจ้งรายการสินค้า promotion หรือจัดส่ง SMS Coupon เพื่อให้ลูกค้านำมาแลกส่วนลดร้านค้า
17.ธนาคาร เชื่อมต่อกับระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ดอกเบี้ยธนาคาร จัดส่งให้สมาชิกผู้รับทุกเช้า
ตัวอย่างการคิดค่าบริการ SMS Advertising
*อ้างอิงจากบริการของ http://www.sms.in.th/promotion.php
กรณีที่ 1 ลูกค้ามีฐานข้อมูล เราจะทำหน้าที่ส่งให้พร้อมรายงานผล
Message Amount Price/ Unit
1,000 – 10,000 3.00
10,001 – 20,000 2.75
20,001 – 30,000 2.50
30,001 – 40,000 2.25
40,001 – 50,000 2.00
กรณีที่ 2 ลูกค้าไม่มีฐานข้อมูล ต้องการเปิดตลาดใหม่
Database Type Price/ Unit
Filtered 5.00
Bulk 3.00
Mobile Marketing ก็คือการเป็นอีกบทบาทของ Market Maker ให้มีความโดดเด่น ตรงใจ ต่อเนื่อง ประยุกต์เทคโนโลยีสื่อสารไร้สายให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้ใช้บริการ และเกิดประโยชน์สูงสุด ความพยายามในการสร้างรูปแบบการใช้บริการเครือข่ายให้เพิ่มมากขึ้น นอกเหนือจากการใช้สัญญาณเพื่อการสื่อสารด้วยเสียงอย่างเดียว คือ การทำให้ Mobile Marketing มีความหลากหลาย อาทิ การเปิด mBOOK, Education on mobile : Pep Tutor, mobile Advertising, Doctor Love ตอบปัญหาเรื่องความรัก ชีวิตคู่ โดยนายแพทย์ พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์, G-Member, Fashion Channel, Bond ดูรายงานผลหุ้นกู้ผ่านเคลื่อนที่ Mobile Marketing ยังจำกัดการใช้งานอยู่ในตลาดเฉพาะกลุ่มธุรกิจ Direct Marketing และส่งเสริมการขาย และสินค้าที่ต้องการให้ข้อมูลทางการตลาดเป็นส่วนใหญ่ และยังไม่ถูกนำมาใช้งานการโฆษณาอย่างจริงจัง เพราะธุรกิจโฆษณายังไม่ค่อยให้ความสนใจ และไม่มีรูปแบบการทำตลาดที่เชื่อมโยงกับ Mobile Marketing มากนัก ส่วนใหญ่เกิดจากผู้ให้บริการระบบร่วมกับเจ้าของสินค้าโดยตรงบริการนี้จึงไม่หลากหลายและโดนใจกลุ่มเป้าหมายเท่าที่ควร “ในอนาคตหากเอเยนซี่หันมาสนใจบริการรูปแบบ Mobile Marketing และช่วยกันพัฒนาตลาดและหารูปแบบโฆษณาที่น่าสนใจมาให้บริการมากขึ้น ทั้งในรูปแบบ SMS, MMS และ Video Clip จะช่วยให้โฆษณาบนโทรศัพท์เคลื่อนที่เกิดประสิทธิภาพสูง” รวมทั้งอนาคตหากโอเปอเรเตอร์พร้อมให้บริการเครือข่าย 3G จะช่วยเพิ่มอรรถรสในการโฆษณาในรูปแบบมัลติมีเดีย ทั้งภาพ เสียง และข้อมูล รวมทั้งหนังสั้น เพื่อกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมมากขึ้น
เทคนิคการเลือกใช้สื่อสำหรับการทำ Mobile Marketing
1. SMS เหมาะกับกรณีใช้แจ้งข้อมูล ข่าวสาร และโปรโมชั่น เพื่อสร้าง Interactive กับลูกค้า
2. M Alert แจ้งข้อความเพื่อทราบ เหมาะสำหรับธุรกิจ MLM และประกัน (Multi-Level Marketing หรือ MLM) ระบบขายตรง หรือการขายตรงหลายชั้น
3. MMS ใช้เพิ่มประสิทธิภาพทางการตลาด อาทิ ส่งภาพ Event การตลาด และเสียงเพลง
4. Video Clip ต้องใช้กับเครื่องที่รองรับเทคโนโลยี 3G เหมาะสำหรับธุรกิจบันเทิง และบริการ Content เพื่อเป็นช่องทางการจำหน่ายบนมือมือ อาทิ หนังสั้น เพลง รวมทั้งคอนเสิร์ต เป็นต้น
เคล็ดลับการส่ง SMS ในการทำ Mobile Marketing
1. ควรเลือกส่งในช่วงพักกลางวัน ก่อนเลิกงาน หรือสุดสัปดาห์ เพราะกลุ่มเป้าหมายจะมีเวลาว่างเปิดอ่าน และมีโอกาสตอบกลับข้อความ
2. ควรใช้กับสินค้าที่ต้องการผลตอบรับทางโปรโมชั่น แต่ต้องรู้จักลูกค้าและมีกลุ่มเป้าหมายชัดเจน
3. ไม่ควรใช้กับสินค้า Consumer อาทิ สบู่ ย่าสีฟัน เพราะกลุ่มเป้าหมายจะให้ความสนใจน้อย
4. เหมาะกับสินค้าที่มีต้นทุนทางการตลาดต่ำ
SWOT analysis – SMS Mobile Marketing
Strengths
1. มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าวิธีการตลาดแบบอื่น
2. ความรวดเร็วและครอบคลุมพื้นที่ในการส่งข้อมูล
3. ความสามารถในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างเฉพาะเจาะจง
4. ความสามารถในการพกพาข้อมูล
5. การทำตลาดผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้รับการตอบรับกว่า 15% ในขณะที่ผลตอบรับจาก Email มีน้อยกว่า 6% และผลตอบรับจากทางไปรษณีย์มีเพียง 5%
6. Mobile marketing was better, faster, and much, much cheaper
Weaknesses
1. บริการยังไม่เป็นที่รู้จัก
2. เปลืองค่าใช้จ่ายในเรื่องของการจัดทำ Call Center
3. ความน่าเชื่อถือ
4. ประเมินผลได้ค่อนข้างยาก
5. มีข้อจำกัดทางด้านเทคนิค
Opportunities
1. ปริมาณการใช้เคลื่อนที่เพิ่มมากขึ้น
2. การรับส่งข้อความแบบ SMS สามารถทำได้ทุกที่
3. เทคโนโลยีสื่อสารมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
4. มีผู้ใช้เคลื่อนที่ทั่วประเทศประมาณ 25 ล้าน เลขหมาย ในขณะที่โทรศัพท์บ้านมีเพียงประมาณ 10 ล้านเลขหมายเท่านั้น
Threats
1. ขนาดของข้อความ SMS แต่ละชุดจำกัดไม่ให้ใหญ่เกินกว่า 160 ตัวอักษร
2. การใช้งาน SMS ต้องการได้รับการฝึกฝน
3. ความต้องการความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภค
Case studies
1. โค้กเสริมเขี้ยวเล็บด้วย I-Scout นวัตกรรมล่าสุดบนเคลื่อนที่ โค้กเสริมเขี้ยวเล็บด้วย I-Scout นวัตกรรมล่าสุดบนเคลื่อนที่โคคา-โคล่า(Coca-Cola: Coke) ประเทศเยอรมัน เริ่มแคมเปญด้าน Mobile Marketing โดยใช้เทคโนโลยี I-Scout ซึ่งใช้ชื่อแคมเปญว่า “Shoot and Enter the CokeFridge” หวังสร้าง Brand ให้ติดใจวัยรุ่นทางโคคาโคล่าได้นำเสนอแคมเปญนี้ในนิตยสารวัยรุ่นของเยอรมันได้แก่ YAM!, Starflash และ Maedchen โดยใครก็ตามที่เห็น Logo ” CokeFridge “(ตู้แช่โค้ก) จาก Print Ad ใบปิดหนังหรือบนบรรจุภัณฑ์ สามารถใช้เคลื่อนที่ถ่ายภาพและส่ง MMS ไปที่เบอร์ที่กำหนดซึ่งเป็น Recognition Server ของ Neven Vision และเพียงไม่กี่วินาที ระบบก็จะส่ง Java Game หรือ Wall paper มาให้ฟรีด้วยเทคโนโลยี I-Scout (object recognition) ทำให้ระบบสามารถวิเคราะห์ได้ว่า ภาพที่ส่งไปเป็นภาพ CokeFridge หรือไม่ ซึ่งสามารถวิเคราะห์ภาพถ่ายจากเคลื่อนที่และทำการเทียบเคียงกับภาพที่มีอยู่ในระบบฐานข้อมูล“สำหรับแคมเปญ CokeFridge นี้ถือว่าเป็นแคมเปญแรกที่นำ I-Scout มาใช้ในเชิงการตลาดบนเคลื่อนที่ ” Hartmut Neven ซีอีโอของ Neven กล่าว “การให้กลุ่มเป้าหมายได้ถ่ายภาพด้วยเคลื่อนที่ส่งมาเพื่อรับรางวัลหรือ Content ต่าง ๆบนเคลื่อนที่ ช่วยให้ โคคา-โคลาเสริมสร้าง Brand ให้แกร่งขึ้น ผลที่ได้รับคือความสามารถในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายแบบตัวต่อตัวได้เป็นอย่างดี”บริษัท Neven Vision เป็นผู้พัฒนาและให้บริการเทคโนโลยี Face and Object Recognition (เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าและวัตถุ) ซึ่งนำมาประยุกต์ใช้เพื่อให้บริการ I-Scout ในเชิงธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันโดนซื้อกิจการไปโดย Google
2. การให้บริการส่งข้อความด้วยระบบ SMS ของ Shinee บริษัท ชินนี่ดอทคอม จำกัด ผู้นำทางด้านพัฒนา Application บนโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้พัฒนา Platform การส่งข้อความ SMS ผ่านหน้า Website พร้อม Database http://www.hunsa.com และ http://www.shinee.com มากกว่า 100,000 รายชื่อ โดยสมาชิกดังกล่าวยินยอมในการรับ Message จากทางผู้ให้บริการในรูปแบบ SMS และสามารถสร้างตลาด แบบเฉพาะเจาะจง ด้วยบริการ หลากหลายดังนี้บริการ SMS Database Marketing (SDM): บริการส่ง SMS พร้อม Database สำหรับเจาะตลาดกลุ่มเป้าหมายได้ทันที โดยแยกประเภทของผู้รับข้อความดังนี้
· เพศ ( SEX) แยกประเภทเป็นชายหรือหญิง
· อายุ (AGE) แยกประเภทอายุ ตามช่วงของอายุ
· สถานภาพ (Status) แยกประเภทสถานภาพ โสด, สมรส, หย่า
· พื้นที่อาศัย (Location) แยกประเภท ออกเป็น กรุงเทพ ฯ และ ต่างจังหวัด
· โทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile Phone) แยกประเภท เป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่ จอขาวดำ, จอสี
· อาชีพ (Occupation) แยกประเภทตามอาชีพ
· ประเภทธุรกิจ (Line of Business) แยกประเภทได้ตามประเภทธุรกิจ 16 หมวด
· รายได้ต่อเดือน (Revenue) แยกประเภทตามลำดับขั้นเงินเดือน
· ความชอบ (Lifestyle) แยกประเภทตามความชอบของแต่ละหมวด เช่นหมวดกีฬา, สื่อสาร ฯลฯ
บริการ SMS to WAP Service (SWS): บริการส่งข้อความSMS พร้อม Link ในการเชื่อมโยงไปสู่ WAPSITE ในการโฆษณาสินค้าและบริการ ซึ่งจะมีรายละเอียดเป็นรูปภาพและราคาสินค้าสามารถเพิ่มยอดขายในการเจาะตลาดแบบเฉพาะเจาะจงได้ทันที
· ราคาถูก สะดวกต่อการใช้งาน และ วัดผลได้
· สร้างความเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีในการส่งข้อความข่าวสาร ดีกว่าการส่ง Direct Mail เดิม
· สามารถทำ SMS คูปองในการให้ส่วนลดกับลูกค้ารายย่อยได้
บริการ SMS to Keep Message (SKM): บริการส่งข้อความSMS จำนวนมากสามารถให้ผู้รับตอบรับ Message จากโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ทันทีผู้ใช้บริการสามารถใช้พื้นที่ในการสร้าง WAPSITE ได้ที่ http://www.shinee.com/plaza สามารถใส่ข้อความรูปภาพสินค้าและบริการ ในการสร้างร้านค้าบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยใช้ระยะเวลาเพียง 15 นาที ซึ่งทางร้านค้าจะมี URL ในการให้ลูกค้าเข้าดูสินค้าและบริการบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ได้เชื่อมต่อผ่านระบบ GPRS ซึ่งสามารถสร้างความประทับใจสำหรับลูกค้าที่เข้าเยี่ยมชมให้เห็นถึงสินค้าได้ทันทีทุกที่ทุกเวลา
3. บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน)ผู้ทำตลาดน้ำอัดลม Pepsi นำ SMS Marketing เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำตลาด ผ่านแคมเปญกระตุ้นยอดขาย Pepsi อาทิ ดื่ม Pepsi ลุ้นรับโชคทอง โดยลูกค้าที่เปิดฝา Pepsi พบข้อความบนฝาแล้วส่ง SMS กลับมาร่วมลุ้นโชค นอกจากนี้ Pepsi ยังใช้เว็บไซต์ในการให้ข้อมูลการตลาด และโปรโมชั่นที่ส่งเสริมกิจกรรมผ่าน Mobile marketing เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางการตลาดมากขึ้นConclusionเนื่องจากโทรศัพท์ได้กลายมาเป็นปัจจัยที่ 5 หรือ 6 ของวิถีการดำเนินชีวิตประจำวัน ก็จะผลักดันให้ Mobile Marketing เติบโตและขยายวงกว้างขึ้นตามลำดับ ทั้งในแง่ของการใช้งาน และรูปแบบของบริการที่นำเสนอหลากโฆษณาผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ จุดเด่นของการโฆษณาบนเคลื่อนที่อยู่ที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการได้อย่างตรงกลุ่ม มากที่สุดกว่าบรรดาสื่ออื่นๆ ที่ใช้กันอยู่ เนื่องจากผู้ให้บริการและเจ้าของสินค้าจะมีฐานข้อมูลส่วนตัวพื้นฐานของกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเจ้าของหมายเลขอยู่แล้ว แนวโน้มสื่อดิจิตอลเติบโต โทรศัพท์เคลื่อนที่ไทยจากจำนวนผู้ใช้กว่า 23 ล้านเลขหมาย เป้าหมายใหม่ผู้ประกอบการสร้างช่องทางแบบเข้าหาถึงตัวผู้ใช้ ช่องทางหารายได้ใหม่เพื่ออนาคตผู้ให้บริการเครือข่าย ลดจุดอ่อนอัตราการเติบโตผู้ใช้ลดลง ความเคลื่อนไหวที่เห็นได้จากการทำตลาดของผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่อย่าง AIS ที่หันมาสร้างกระแส Mobile Marketing โฆษณาผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ ภายใต้บริการ Mobile Advertising สื่อโฆษณาช่องทางใหม่ ที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคแบบ One-to-One Marketing
Key success factor Mobile Marketing
1. การพัฒนาการของ Mobile phone& 3G Network Technology เป็นสิ่งที่เป็นตัวกำหนดขอบเขตความสามารถและความเป็นไปได้ ในการประยุกต์ใช้งาน Mobile marketing ยิ่ง Technology พัฒนาไปมากเท่าไร วิธีในการนำเสนอกลยุทธ์ Mobile marketing ก็จะมีความซับซ้อนมากขึ้นเท่านั้น
2. การมีระบบพื้นฐาน Payment billing system (M-payment) ซึ่งช่วยให้การทำธุรกรรม M-Commerce เกิดขึ้น เป็น แรงผลักดันให้เกิดการความต้องการทำ Mobile Marketing อย่างแพร่หลายตามมา
3. ราคาในการใช้บริการ Mobile internet ต้องไม่แพงเกินไป ทำให้เกิดการเข้าไปใช้งานได้อย่างแพร่หลาย
4. การมีผู้ให้บริการ Content Provider ที่มีคุณภาพและมากพอจะทำให้เกิด Demand จากผู้บริโภคได้
5. การแบ่งผลประโยชน์ที่สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง Mobile operator กับ Content Provider
6. การมีตลาดฐานลูกค้า Database ที่มีคุณภาพ จากการทำกลยุทธ์ Buildà Maintain à Utilize
7. การให้ข้อมูลประชาสัมพันธ์แก่ผู้บริโภคเกี่ยวกับสื่อการตลาดใหม่นี้
8. การสร้างช่องทางสื่อสารให้ระหว่างธุรกิจกับลูกค้า
แนวโน้มอนาคตตลาด Mobile Marketing
· 3G – Wireless broadband – Multicasting
· TV/Radio Station on mobile
· Ads on Demand
บรรณานุกรม
1. โมบายคอมเมิร์ซ(M-COMMERCE), นายปัญจะ แร่พรม, คณะบริหารธุรกิจ, มหาวิทยาลัยรังสิต 2547
2. http://www.thinkandclick.com
3. http://www.positioningmag.com/insight_sme.asp
4. http://www.brandage.com/home/default.asp
5. http://www.pawoot.com/content/display/detail_preview.asp?CONT_ID=138
6. http://www.tradepointthailand.com
7. http://www.guru-ict.com
8. http://www.jigsawsms.com
9. http://www.sms.in.th/
10. http://www.smileinteractive.co.th
11. http://smilesms.com
12. http://www.applymail.com